ผมดูข่าวน้ำท่วมครั้งใหญ่เกือบ 30 จังหวัดในประเทศไทยเหมือนพวกท่านทุกคน เศร้าใจและหดหู่ มีรายงานข่าวทุกช่องและทุกวัน มีอยู่รายการหนึ่ง มีการเชิญนักวิชาการจำได้ว่าเป็น ผศ. จากจุฬา ท่านมาพูดถึงเรื่องเทคโนโลยีภาพถ่ายติดตามกระแสน้ำด้วยดาวเทียมและย้ำว่า การแก้ปัญหาน้ำนั้นต้องลงในรายละเอียด เช่น
- บริหารน้ำเป็นลุ่มแม่น้ำเพราะน้ำไหลบ่ามันไม่สนแนวจังหวัด
- ภาพถ่ายช่วยประเมินและบอกกล่าวล่วงหน้าให้ประชาชนรู้ตัว
- คำนวณความเสียหายของไร่นา บ้านเรือนได้แม่นยำดีกว่า
- วางผังเมืองได้ดีกว่าเพื่อลดผลกระทบของอุทกภัยในปีต่อๆไป
ถูกใจผมมาก พูดได้ดี หวังว่าผู้มีหน้าที่โดยตรงจะได้ฟัง ที่โดนใจเพราะดูเหมือนเราจะเริ่มมีนักวิชาการจริงๆแล้ว ดีใจกับลูกศิษย์ของอาจารย์ท่านนี้
หากลองเปรียบเทียบดูกับงานที่ผมทำ เช่น การรักษาปัญหาผมร่วง ผมร่วงเป็นหย่อม และการรักษาสิว การรักษารอยเหี่ยวย่น ผมจะทำอยู่ 3 ประการเสมอ
1. หาวิธีประเมิน ปัญหาที่ทำอยู่แบบต่อเนื่องเพื่อ เอาข้อมูลมาประกอบทุกระยะของการรักษา วิธีนี้เป็นวิธีเดียวที่จะบริหารการใช้ยา การให้คำแนะนำ การบอกกล่าวว่าตำแหน่งใดยังไม่ก้าวหน้า และนำความรู้และประสบการณ์ไปใช้กับคนไข้รายอื่นๆได้ต่อไป เช่นการใช้ DIHAM ในการติดตามการรักษาเส้นผม
2. หาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงสร้างของผิวหนังให้รู้ชัดเจนจริงๆว่าเป็นอย่างไร เหมือนการศึกษาสภาพความลาดชันและชนิดของดินหมู่บ้าน พื้นที่ทำนาของชาวบ้าน ก็เหมือนการทำงานของผมเช่นการรู้เรื่องแนวโพรงขน การมีผิวเคลือบ ความลึกของชั้น ผิวหนัง และความสำคัญของชั้น SMAS และอาศัย Vivascope สำหรับเก็บภาพความสัมพันธ์ของผิวหนังในชั้นต่างๆเหล่านี้
3. พยายามสื่อสารกับประชาชนให้ตระหนักด้วยการสร้างหนัง animation เพื่อจะได้เรียนรู้และช่วยเหลือตนเองได้
เชื่อไหมครับ แพทย์ผิวหนังและอาจารย์ของสถาบันต่างๆ ต่างนิ่งดูดายไม่ใส่ใจ เช่น 10 กว่าปีก่อนตอนที่ผมเสนอผลงานวิชาการเรื่อง DIHAM แพทย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งกระเซ้าผมว่าทำไมต้องไปวัดว่าผมขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงอย่างไร เพราะก็เห็นๆกันอยู่ ผมก็ได้แต่ งง เพราะไม่คิดว่า คนที่เป็นนักวิชาการเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยมีหน้าที่สอนนักศึกษาแพทย์จะ..... ขนาดนี้ หากข้าราชการผู้ใหญ่บอกว่าจะต้องไปสนใจอะไร น้ำท่วมก็ท่วมลดก็ลดไม่ต้องไปประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า หรอก ขอให้บาปกรรมตามสนองเถอะสำหรับคนพวกนี้
ฝรั่งเขาคิดหาวิธีประเมินตลอดเวลา และหาวิธีแก้ปัญหา เช่น เมื่อเร็วๆนี้ก็พิสูจน์แล้วว่า บนดวงจันทร์มีน้ำโดยอาศัยการสังเกตว่าอุณหภูมิบนพื้นผิวดวงจันทร์ด้านที่ไม่โดนแสงอาทิตย์เลยนั้นเย็นจัด ประมาณ กว่า 300 องศาฟาเรนไฮต์ ทุกอย่างน่าจะแข็งตัวและไม่หลุดลอยไปไหน เขาต้องเสียเงินเสียทองเอาดาวเทียมไปพุ่งชนแล้วดูว่ามีโมเลกุลอะไรแตกออกมาบ้าง ที่เขาพบก็คือมีแสงสีม่วงวาบขึ้น และรู้ว่าแสงสีม่วงนั้นเป็นช่วงคลื่นที่เกิดจาก OH บอนด์ ซึ่งมีโมเลกุลของไฮโดรเจน 1 โมเลกุลกับ ออกซิเจนอีก 1 โมเลกุล ดังนั้นก็สามารถรู้ได้ว่ามีน้ำแน่นอน หรืออย่างน้อยคือมี ไฮโดรเจนและออกซิเจนที่สามารถแยกมาเป็นอากาศให้เราหายใจหรือจะอัดให้เป็นน้ำก็ได้
หากเทียบกับประเทศเรา เราเห็นน้ำเต็มแผ่นดินไทยแต่ไม่คำนวณ ว่าจะไหลไปทางไหน เร็วเท่าไร ทับพื้นที่อะไรบ้าง ของเขาคิดหัวแทบแตกเพื่อให้รู้ว่ามีน้ำอยู่บนดวงจันทร์หรือเปล่า ช่างห่างกันจริงๆหวังว่าพวกเราที่เข้ามาอ่านบทความนี้ จะเห็นด้วยและเข้าใจว่า การประเมินเป็นรากฐานทำให้เราเข้าใจ วางแผน พัฒนา ปรับปรุง นำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนกว่า
- สำหรับพวกเป็นสิว ก็อย่าไปเชื่อเรื่องกดสิว ฮอร์โมน อะไรร้อยแปด ให้เชื่อเรื่อง แนวของโพรงขนและบริหารการไหลเวียนของเลือดและน้ำมันด้วยการล้างหน้าไปตามแนวโพรงขน
- สำหรับ คนที่กลัวหน้าเหี่ยวก็ลดแรงที่ทำให้ผิวช้ำ บิดเบี้ยวลง ด้วยการไม่ทำลายชั้น SMAS
- สำหรับคนที่หน้าติดสเตียรอยด์ก็ ให้เลิกคิดว่าผิวเรา sensitive แต่ความจริงบางเพราะครีมต่างๆที่ได้มาจากหมอเห็นแก่เงินพวกนั้นเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้เป็น seb derm แบบที่เขาว่ากัน ไปหาหมอแก้การ ติดสเตียรอยด์ได้แล้ว 3 เดือนก็หายแล้วไม่เป็นอีก
- สำหรับคนที่หัวล้านก็ไปหาหมอประเมินว่าเราควรต้องทำตัวอย่างไรเพื่อไม่ให้ผมแย่ลงกว่าเดิม แล้วควรกินวิตามินอะไรเพื่อทำให้ผมแข็งแรงขึ้น มัวแต่หยอดยา minoxidil อยู่นั่นแหละ
ถ้าไม่เชื่อก็รอต่อไปเหมือนชาวบ้านตาดำๆที่รอให้น้ำท่วมซ้ำซาก หวังว่าข้าราชการ ( ที่ไม่ได้ตั้งใจช่วยจริง อาศัยแต่เบียดบังหากินกับงบประมาณที่ตัดมาช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมแบบซ้ำซาก ) จะมาช่วย แล้วก็เถิดทูนกันเข้าไปว่าเขาดี เขาเก่ง เขาเชี่ยวชาญ ไม่ฟังคนที่หวังดี มีความรู้ และตั้งใจจะช่วยจริงๆ
เมื่อไรเขามาช่วยแล้วไม่ได้ให้ความรู้ว่าเราต้องเปลี่ยนแปลงอะไร ก็ขอให้รู้ว่าเขาเองก็ไม่รู้อะไรเลยเหมือนกัน