เวลาให้คำปรึกษาแก่คนไข้มักจะได้ยินคำถามเปรยถึงเหตุการณ์ที่เคยประสบมาแล้วถามว่า แบบนี้แบบนั้นเป็นการเลี้ยงไข้หรือเปล่า
ผมก็พยายามตอบตามความเข้าใจของผมมาเรื่อยๆ เพิ่งจะเมื่อ 2 วันนี้เองได้คำตอบที่พอฟังดูได้เนื้อหามากขึ้น พอที่จะมาเขียนให้อ่านกัน
ผมตอบไปว่า หากเจตนาที่แพทย์รักษาเราคือต้องการได้เงิน พูดง่ายๆคือเห็นแก่ตัว เลยเลือกวิธีการรักษาที่พอจะบรรเทาปัญหาได้ และไม่ขวนขวายที่จะหาความรู้ที่จะทำให้เราหายได้ดีกว่านั้น น่าจะเรียกว่าเลี้ยงไข้
แต่หากว่า หมอท่านทำเพื่อผู้ป่วยจริงๆ สงสารมีเมตตาอยากให้หายจากโรคจริง แต่ลักษณะของโรคมันจะต้องเป็นอีก เพราะเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดนั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หรือ อวัยวะที่เราเป็นอยู่มันเสื่อมโทรมลง ทำให้การรักษาให้หายโดยสมบูรณ์นั้น ทำไม่ได้ อย่างนี้ไม่น่าจะเรียกว่าเลี้ยงไข้
และจะสังเกตได้ว่าแพทย์จะพยายาม ขวนขวายหาวิธีการมารักษาให้ดีกว่าเดิมให้ได้
เมื่อลองสังเกตดู ก็จะเห็นว่าการพัฒนาการของสุขภาพนั้นไปในทางที่ดีขึ้นสม่ำเสมอ และหากหยุดการรักษาไป ก็จะสังเกตได้ว่า อาการต่างๆนั้นแม้จะไม่ดีเท่าตอนที่ได้รับการรักษาแต่ก็ดีกว่าตอนที่ไปพบแพทย์ครั้งแรกๆ ทั้งนี้เพราะผลที่ได้เป็นการดูแลให้อวัยวะร่างกายฟื้นฟูจริง และมีคำแนะนำให้ผู้ป่วยดูแลสุขลักษณะที่ถูกต้องจริงอีกด้วย
เขียนยืดยาว ทำให้เข้าใจยาก แต่มีภาพที่น่าจะทำให้เข้าใจมากขึ้น
กล่าวคือให้ มองการเลี้ยงไข้เหมือนเลี้ยงลูกฟุตบอล
ปกตินักฟุตบอลที่เลี้ยงลูกมากๆมีสาเหตุไม่กี่อย่าง
1. ไม่รู้จะทำอะไรดี เลยครองบอลเลี้ยงไปมาอยู่อย่างนั้น
2. เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่ทีม ไม่เห็นแก่ชัยชนะของทีม เพียงต้องการชื่อเสียง และรางวัลเฉพาะตน
หากเป็นนักฟุตบอลที่ จะมีการเตรียมการและรู้ว่าต้องทำอย่างไร จะไม่ครองบอลนาน แต่ต้องทำให้เกมจบด้วยชัยชนะเร็วที่สุด ดีที่สุด จึงไม่เลี้ยงแต่ส่งบอลเป็นระบบ โดยไม่เห็นแก่ตัว หากจะครองบอลก็เพราะด้วยความจำเป็นเท่านั้นจริงๆ
คราวหน้าไปหาแพทย์ ลองคิดดูว่า คุณเป็นลูกฟุตบอลกำลังถูกเลี้ยงหรือเลี้ยงมานานเท่าไรแล้ว หวังว่าบทความนี้จะยังประโยชน์ได้พอสมควร