เมื่อวันพุธที่ผ่านมา หมอได้เจอเคสที่น่าสนใจเคสหนึ่ง คนไข้เป็นผู้หญิง มีปัญหาเรื่องผื่นคันบริเวณหน้าแข้ง เป็นๆ หายๆ มาเป็นเวลาปีกว่าแล้ว ก่อนหน้าที่เธอจะมาพบหมอที่คลินิค เธอได้รับการรักษามาหลายที่ ได้รับการวินิจฉัยไปต่างๆ นาๆ ว่าเป็นภูมิแพ้ แพ้โลชั่น แพ้สบู่ และได้รับการรักษาด้วยการทายา อาการก็ทุเลาลง แต่พอหยุดยาก็เป็นใหม่อีก
จากรูปจะพบว่า ผิวหนังบริเวณหน้าแข้งมีการหนาตัวขึ้น ลักษณะเป็นตุ่มนูน เรียงกันคล้ายกับสร้อยลูกปัด โดยตุ่มนูนจะอยู่ระหว่างรูขุมขน มีอาการคันบ้าง แต่ไม่รุนแรง ลูบๆก็ทุเลาลง จากอาการและจากรอยโรค เหมือนกับลักษณะผื่นที่เกิดจาดการอักเสบของผิวหนังแบบเรื้อรัง(chronic eczema) แต่เนื่องจากคนไข้ไม่เคยมีประวัติของการอักเสบบริเวณนี้มาก่อนเลย จึงน่าแปลก และหากให้การรักษาแบบเดิมกลับไป คนไข้ต้องกลับมาเป็นใหม่อีกแน่นอน หมอจึงตัดสินใจนำคนไข้เคสนี้ปรึกษากับอาจารย์สมนึก ซึ่งปรากฎว่า คนไข้เป็นโรค Lichen amyloidosis (ไลเค่น อะไมลอยโดซิส)
Lichen amyloidosis อาจจะฟังดูไม่คุ้นแต่ในความเป็นจริงสามารถพบได้บ่อยในชาวเอเชีย อาการโรคนี้ไม่ได้รุนแรงเหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรอกคะ เพราะไม่ได้เป็นโรคติดเชื้อ สาเหตุไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เป็นความผิดปกติของเซลล์ผิวของเรา การเกิดขึ้นของโรคนี้บางครั้งมีปัจจัยกระตุ้น บางครั้งอาจไม่พบ แต่ส่วนใหญ่เหตุกระตุ้นที่พบได้บ่อยคือการเสียดสีที่บริเวณนั้นบ่อยๆ เช่นการ เกา การถู ดังนั้นน บริเวณที่พบโรคนี้ได้บ่อยมักเป็นที่หน้าแข้งเนื่องจากเราต้องใส่การเกง ถุงเท้า ถุงน่อง กันเป็นประจำ
การเสียดสีซ้ำไปซ้ำมาจะเป็นตัวการทำให้เกิดการทำลายของเซลล์ผิวหนัง(keratinocyte) เมื่อเกิดการตายของเซลล์ผิวหนัง มันจะไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยโปรตีนออกมา(คล้ายกับที่เวลาเราล้มเป็นแผลถลอกแล้วมีการสร้างสะเก็ดแผล) แต่กระบวนการสร้างโปรตีนนั้นไม่สมบูรณ์ เป็นโปรตีนผิดรูป เส้นใยโปรตีนจึงไม่สามารถนำไปใช้งานได้ ต้องทิ้งสถานเดียว แต่เนื่องจากเป็นโปรตีนที่ไม่ได้มาตรฐาน กลไกการขับออกจากร่างกายจึงบกพร่อง กลับกลายเป็นสะสมไว้ใต้ผิวหนังเป็นตุ่มนูนหนา คล้ายผื่นขึ้นมาแทน การสะสมของโปรตีนใต้ผิวหนังจะไปรบกวนปลายประสาททำให้เกิดอาการคันขึ้นได้ด้วย
โดยส่วนใหญ่คนไข้ที่เป็นโรคนี้มักจะรำคาญกับอาการคันและลักษณะผื่นที่ดูเหมือนสกปรก ทั้งที่ความเป็นจริง คนไข้จะพยายามขัดถูผิวบริเวณนี้เป็นประจำเพื่อให้ผื่นหลุดออกไป แต่กลับกลายเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเสียดสีมากขึ้น ผื่นจึงเป็นมากขึ้น ในการดูแลรักษาคนไข้กลุ่มนี้จึงต้องทำความเข้าใจเรื่องการดูแลผิวกันใหม่
เนื่องจากโรคนี้มักจะทำให้เราเกิดความสับสนในการวินิจฉัยและการรักษา รอยโรคดูเผินๆจะคล้ายกับผิวหนังอักเสบและโรค Lichen amyloidosis พบได้มากในชาวเอเชีย หมอจึงอยากที่จะนำมาเผยแพร่ให้ได้ทราบกัน บางทีคนในครอบครัวเราที่เป็นผื่นที่หน้าแข้งรักษาไม่หายอาจจะกำลังเป็นโรคนี้อยู่ก็ได้